วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การจูงใจให้ผู้ต้องหาเพื่อให้การ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๙๒๔/๒๕๔๔
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๕
                โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบกันว่า ภายหลังเกิดเหตุ พยานทั้งสองติดตามไปสอบปากคำจำเลยซึ่งได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จำเลยรับต่อพยานทั้งสองว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ จำเลยต่อสู้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเมาสุราหลับอยู่ในรถยนต์กระบะคันดังกล่าว ซึ่งมีนายวาทิตย์ เป็นผู้ขับ
                พยานโจทก์ทั้งสองปากต่างเป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งสอบปากคำจำเลยในช่วงกระชั้นชิดต่อเนื่องกับเหตุการณ์จนจำเลยไม่มีเวลาเสริมแต่งข้อเท็จจริงได้ทันท่วงที จึงมีเหตุอันควรเชื่อดังที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความโดยไม่ระแวงสงสัยว่าเป็นการปรักปรำจำเลย ที่จำเลยต่อสู้โดยอ้างว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ตนเองพ้นผิด ซึ่งฟังหักล้างคำพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ได้
               ส่วนที่ร้อยตำรวจเอก ว. แจ้งแก่จำเลยที่โรงพยาบาลว่านายวาทิตย์ยังไม่ตาย ซึ่งผิดไปจากความจริงนั้น ไม่ถือเป็นการล่อลวงเพื่อจูงใจให้จำเลยรับว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ อันจะมีผลให้ไม่อาจฟังตามคำรับของจำเลยได้ดังจำเลยฎีกา หากแต่เป็นการดำเนินการที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเพื่อทราบข้อเท็จจริงตามอำนาจของกฎหมาย จึงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ จำเลยรับว่าขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการเมาสุรา ประกอบกับทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์สอดคล้องต้องกันมีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ กรณีเชื่อได้ว่าจำเลยขับรถในขณะมึนเมา ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางเดินรถสวน โดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ อันเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน
               การที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่ามิได้กระทำโดยประมาทโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ย่อมไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ จึงวินิจฉัยว่าเหตุเกิดเพราะจำเลยประมาท